นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “SUSTAINABILITY FORUM 2026 Shift Forward: Overcoming Challenges” หัวข้อ “Green Energy Powering Sustainability พลังงานสะอาด พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ว่า หากประเทศจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์) ปี 2050 จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งปรับตัวด้านพลังงานเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรการการค้าโลกที่เข้มงวดขึ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้นำโลกในงาน World Economic Forum พบว่า ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเป็นความกังวลลำดับแรกในระยะยาว (10 ปี) โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อระบบโลก (critical change to earth system) และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity laws) ผู้นำโลกมองว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศของโลก
พลังงานสะอาดจึงไม่ใช่แค่ทางออกด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อระบบธุรกิจ ระบบการค้า และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีเงื่อนไขใหม่ ๆ ทางการค้าโลก เช่น มาตรการเกี่ยวกับคาร์บอน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่ยุโรปนำมาใช้ ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า หากไทยไม่ปรับตัว
“แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ถึง 1% ของโลก แต่ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ทำให้ไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากผลกระทบสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยปัจจุบันจัดอยู่ในอันดับที่ 17″
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับทิศทางโลกและคู่แข่งในภูมิภาคอย่าง มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ที่ขยับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050 รัฐบาลไทยจึงต้องเร่งปรับเป้าหมาย Net Zero จากเดิมปี 2065 มาเป็นปี 2050 เช่นกัน เนื่องจากภาคพลังงานและการขนส่งเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนกว่า 60% จึงเป็นภาคส่วนสำคัญที่ต้องปรับเปลี่ยนมาตรการอย่างมีนัยยะ
นายอรรถพล กล่าวว่า หลักการบริหารจัดการนโยบายพลังงานจะต้องสร้างความสมดุลของ “สามเหลี่ยม” 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความมั่นคง 2. ด้านความยั่งยืน/พลังงานสะอาด และ 3. ด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะราคา เพราะหากมุ่งเน้นความมั่นคงหรือความยั่งยืนมากเกินไป จะส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับประเด็นด้านความมั่นคง เนื่องจากสถานการณ์ที่ก๊าซในอ่าวไทย เริ่มลดลง ส่วนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล “ไทย-กัมพูชา” นั้นต้อง “ปิดไปก่อน” ดังนั้น การผลักดันให้เปิดสำรวจแหล่งพลังงานใหม่ในฝั่งอันดามันจะเป็นการจัดการความมั่นคงด้านพลังงานและจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ ๆ ให้กับประเทศ เพราะรัฐบาลได้มีการศึกษาและพบว่า ฝั่งอันดามัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยเองมีศักยภาพ จึงมีการผลักดันและดำเนินการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการเรียบร้อยแล้ว และจะประกาศเปิดแปลงสำรวจฝั่งอันดามันอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีการผลักดันและเตรียมเปิดแปลงสำรวจแหล่งพลังงานใหม่ในอ่าวอันดามันเพราะมีศักยภาพสูง เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียเพิ่งค้นพบก๊าซปริมาณมาก ในแหล่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน หากมีการสำรวจอย่างจริงจังและมีการค้นพบในที่สุด แหล่งพลังงานนี้จะถือเป็น “แหล่งใหม่” ให้กับประเทศ นอกจากนี้ ยังต้องเน้นระบบพลังงานที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น
“มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักการบริหารจัดการนโยบายพลังงานที่ต้องสร้างความสมดุลระหว่าง ความมั่นคง, ความยั่งยืน และ เศรษฐกิจ/ราคา โดยการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่นับเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน”
รัฐบาลชุดปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านระยะเวลา มาตรการที่นำมาใช้จึงต้องเป็นมาตรการ Quick Big Win ที่สามารถส่งผลกระทบในระยะยาวได้ โดยใช้กลไกในระดับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือระดับกระทรวง มาตรการเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อวางรากฐานพลังงานที่ควรจะเป็นในอนาคต ซึ่งวางมาตรการ Quick Big Win แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1. โซลาร์เพื่อประชาชน แบ่งเป็น 1) โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ที่เหลือจากแผน PDP ปี 2018 จะถูกเปลี่ยนจากการประมูลใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการที่ภาคเอกชนต้องร่วมมือกับชุมชนขนาดโครงการไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อชุมชน (ในทางปฏิบัติคือ 2-3 เมกะวัตต์ต่อจุดเชื่อมต่อ) ซึ่งจะกระจายไปสู่หลาย 100 ชุมชน ซึ่งการไฟฟ้าฯ จะรับซื้อในราคา 2.16 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี

โดยผลประโยชน์ชุมชนที่จะได้รับ ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ 2.16 บาท กับค่าไฟฟ้าปกติ ซึ่งรัฐบาลมีข่าวดีว่าได้ลดลงเหลือ 3.88 บาท จะถูกนำไปเป็นส่วนลดค่าไฟให้กับชุมชนนั้น ๆ ทั้งนี้ คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุน 30,000 ล้านบาทต่อปี สร้างงาน 1,700 ตำแหน่ง และลดคาร์บอนได้เกือบ 1 ล้านตันต่อปี
2) มาตรการลดหย่อนภาษีครัวเรือน โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.)อนุมัติให้ผู้ติดตั้งโซลาร์ในบ้าน สามารถนำค่าใช้จ่ายไม่เกิน 200,000 บาท ไปลดหย่อนภาษีได้ (มีผลจนถึง ธ.ค. 2571) ที่ตั้งเป้า 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นการลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท และลดคาร์บอนได้กว่า 200,000 ตันต่อปี
3) โซลาร์สูบน้ำเพื่อเกษตร ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม เครื่องสูบ ในพื้นที่เกษตรที่มีแหล่งน้ำตลอดปี เพื่อให้เกษตรกรสามารถเดินท่อสาขาเชื่อมต่อรับน้ำได้
4) โซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) โครงการลงทุนโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลฃิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใน 3 เขื่อน เป้าหมายกำลังผลิต 1,600 เมกะวัตต์ โดยหน่วยงานภาครัฐประหยัดเงินกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งมีต้นทุนต่ำเนื่องจากไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าพื้นที่และอยู่ใกล้ระบบส่งไฟฟ้า
5) ระบบโซลาร์ในประปาหมู่บ้าน ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยนำระบบโซลาร์เข้าไปแทนที่ปั๊มน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงหรือไฟฟ้าเดิม เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านมาตรการ 1) Direct PPA เพื่อส่งเสริมพลังงานสะอาดและรองรับการลงทุนของ Data Center โดยมาตรการนี้อนุญาตให้ผู้ใช้งานโดยเฉพาะ Data Center สามารถเจรจาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงกับผู้ผลิตได้ โดยกฟผ.จะคิดเพียงค่าผ่านสาย รองรับ 2,000 เมกะวัตต์ กระตุ้นการลงทุน 60,000 ล้านบาท สร้างงาน 3,000 ตำแหน่ง และลดคาร์บอนได้ 1.6 ล้านตันต่อปี
2) การพัฒนาระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ EEC โดยเร่งการลงทุนสร้างสายส่งและโครงข่ายระบบในเขต EEC เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะจาก Data Center สามารถเพิ่มความสามารถในการรองรับอีก 3,800 เมกะวัตต์ กระตุ้นการลงทุน (รวมถึง Data Center) ประมาณ 500,000-600,000 ล้านบาท
3. การวางแผนระยะยาว ผ่าน 1) การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ เนื่องจากแผนเดิม (ปี 2018) ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050 จึงมีการเร่งรัดให้คณะกรรมการจัดทำแผนประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อให้แผนใหม่ออกมาให้ได้ในช่วงต้นปี 2026. แผน PDP ใหม่นี้จะเป็น “คัมภีร์” ที่ชี้ทิศทางพลังงาน 15-20 ปีข้างหน้า และให้นักลงทุนเห็นทิศทางการใช้พลังงานสะอาดของประเทศ
2) เชื้อเพลิงแห่งอนาคต โดยแผนในอนาคตจะไม่เพียงพอหากอาศัยแค่โซลาร์เท่านั้น จึงต้องนำเทคโนโลยีพลังงานใหม่เข้ามา เช่น ไฮโดรเจน ได้รับการประกาศให้เป็นเชื้อเพลิงของประเทศไทยแล้ว (เดิมไม่อยู่ในรายการของกรมธุรกิจพลังงาน) ซึ่งจะนำไปสู่การออกข้อกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การขนส่ง และความปลอดภัย เพื่อกระตุ้นการลงทุนในเชื้อเพลิงสะอาดชนิดนี้
3) SMR คาดว่าจะต้องอยู่ในแผน PDP ฉบับใหม่ โดย SMR เป็นเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (200-300 เมกะวัตต์) ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม เนื่องจากมีระบบหล่อเย็นในตัวเองและสามารถ Shut down ได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหา พื้นที่ที่ต้องควบคุมพิเศษมีขนาดเล็กกว่ามาก (ประมาณ 1 ตร.กม. เทียบกับ 10-20 ตร.กม. ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่)
4) การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS – Carbon Capture Storage) ไทยมีศักยภาพในการจัดเก็บคาร์บอนในอ่าวไทย รัฐบาลกำลังร่วมมือกับญี่ปุ่นสำรวจโครงสร้างใต้ดินเพื่อยืนยันความเหมาะสม ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ หากจัดเก็บได้จริง จะเป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง อาจมีลูกค้าระดับภูมิภาค ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์แสดงความสนใจใช้บริการ ดังนั้น หากดึงพันธมิตรเข้าร่วมลงทุน ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่มูลค่าสูงถึง 400,000-500,000 ล้านบาท
“มาตรการ Quick Big Win ทั้ง 3 ด้านนี้ ทั้ง โซลาร์เพื่อประชาชน, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการวางแผนระยะยาว คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท สร้างงานได้ถึง 29,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยคาร์บอนได้ประมาณ 10 ล้านตันต่อปี โดยการดำเนินงานเหล่านี้ได้มีการอนุมัติไปเรียบร้อยแล้วและเข้าสู่โหมดของการปฏิบัติการ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของประเทศในการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน”

