‘แอสคอทท์’ รุกขยายแบรนด์ในไทย  เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สู่โรงแรม เพิ่มพอร์ต 1 หมื่นห้องใน 3 ปี

นายคณิต แสงมุกดา ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและลาว บริษัท ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด เผยว่า ปัจจุบันแอสคอทท์ มีโครงการเปิดให้บริการแล้ว 27  แห่ง แบ่งเป็นโครงการในไทย 26 แห่ง และลาว 1 แห่ง รวม 5,510 ห้อง ทั้งอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 4 โครงการ 1,678 ห้อง รวม 7,188 ห้อง ซึ่งจะทยอยเปิดภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ทำให้พอร์ตโฟลิโอใน 2 ประเทศนี้มีทั้งสิ้นกว่า 31 โครงการ ครอบคลุม 7 แบรนด์หลัก ได้แก่ The Crest Collection, Ascott, Préférence ,Oakwood ,Somerset ,lyf , citadines

แม้ว่าในปี 2568 ภาพรวมตลาดโรงแรมและการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นเต็มที่จากภาวะเศรษฐกิจและเที่ยวบินระหว่างประเทศที่ลดลง สร้างแรงกดดันให้กับธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ โดยเฉพาะการเข้าพักระยะสั้น (Short-Stay) ที่ขับเคลื่อนโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ

แต่แอสคอทท์ยังสามารถประคองรายได้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยฐานลูกค้ากลุ่มคอร์ปอเรต ลองสเตย์ ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะลูกค้าญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของลูกค้าทั้งหมด จีน 17% ไทย 9% และประเทศอื่นๆ อาทิ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ออสเตรเลีย      

ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของแอสคอทท์ในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 70% โดยในกรุงเทพฯ เฉลี่ยอยู่ที่ 68% ศรีราชาและพัทยาอยู่ที่ 70% ขณะที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว มีอัตราการเข้าพักสูงสุดถึง 80% โดยสัดส่วนลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มลูกค้าพักระยะยาว  23% ลูกค้าธุรกิจระยะสั้น 11% สมาชิก Ascott Star Rewards (ASR) 6% การจองผ่านช่องทางออนไลน์ (OTAs) 36% และกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ อีก 23% 

ทั้งนี้ถือเป็นจุดแข็งของแอสคอทท์ในการบริหารจัดการที่พักหลากหลายรูปแบบ ที่รองรับได้ทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ (B-leisure) และลูกค้าองค์กรที่เข้าพักระยะยาว  ขณะที่ผลประกอบการของแอสคอทท์ในปีหน้า คาดว่าธุรกิจจะฟื้นตัว โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้อีก 7% ในปี 2569 ขยายอัตราการเข้าพักให้เพิ่มขึ้นอีก 5% และคาดว่าราคาเฉลี่ยต่อห้อง (ADR) จะเพิ่มขึ้นอีก 1% จากปีก่อนหน้า

นายคณิต แสงมุกดา

ขณะเดียวกันแอสคอทท์ยังคงเดินหน้า ขยายพอร์ตธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่าประเทศไทย เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงของอาเซียนในเชิงภูมิศาสตร์ ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของแอสคอทท์ในแผนการเติบโตระยะยาว แม้อินโดนีเซียจะมีจำนวนโครงการมากที่สุดกว่า 100 แห่ง แต่ไทยยังมีศักยภาพสูงทั้งในอสังหาริมทรัพย์ เราจึงยังคงมองหาพันธมิตรใหม่ ทั้งเจ้าของโครงการและนักลงทุนที่ต้องการผู้บริหารโรงแรมระดับโลก 

ที่ผ่านมา แอสคอทท์ มุ่งเน้นเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เป็นหลัก แต่ปี 2568 จะหันมาใช้กลยุทธ์กระจายพอร์ตฯ บาลานซ์ความเสี่ยงธุรกิจ ภายใต้โมเดล Asset Light โดยแอสคอทท์จะนำเสนอโมเดลที่ยืดหยุ่น ทั้ง สัญญาบริหารโรงแรม, ระบบแฟรนไชส์ และเรสซิเดนซ์ภายใต้แบรนด์โรงแรม (Branded Residences) เพื่อให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่และกลุ่มลูกค้า ซึ่งจะเน้นกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว และกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ ได้แก่ 

1. กลยุทธ ‘Asset-Light’’ หรือ การบริหารจัดการที่พักผ่านสัญญาบริหารจัดการ(Management Agreement) ให้กับกลุ่มโรงแรม ส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว 10 ปีขึ้นไป และแฟรนไชส์ (Franchise) ซึ่งโมเดลยืดหยุ่นขึ้นสำหรับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น ที่ยังอยากบริหารงานเอง แต่ดำเนินการภายใต้แบรนด์สากล อย่าง แอสคอทท์

สำหรับที่พักหลายรูปแบบ เช่น เซอร์วิสเรสซิเดนส์,  Branded Residences ซึ่งปัจจุบัน กว่า 95% ของโครงการในไทย จะอยู่ภายใต้สัญญาบริหารจัดการ และแฟรนไชส์ โมเดลนี้มีความยืดหยุ่นสูง โดยโครงการแฟรนไชส์แห่งแรกในไทย คือ Oakwood Residence Sukhumvit 24 และมองว่าแบรนด์ Yello ซึ่งอยู่ในระดับกลางถึงบนมีความเหมาะสม ในการขยายแฟรนไชส์และดึงดูดนักลงทุน

‘แอสคอทท์’ รุกขยายแบรนด์ในไทย  เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สู่โรงแรม เพิ่มพอร์ต 1 หมื่นห้องใน 3 ปี

2.การขยายรูปแบบที่พักให้หลากหลาย โดยพอร์ตโฟลิโอของแอสคอทท์ได้ขยายตัวจากเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ดั้งเดิม ไปสู่ โรงแรม, โคลีฟวิ่ง (Co-living), รีสอร์ต, และเรสซิเดนซ์ภายใต้แบรนด์ที่หลากหลาย บริษัทใช้ โมเดลการบริการแบบไฮบริด เพื่อรองรับทั้งลูกค้าพักระยะสั้นและระยะยาวภายใต้ระบบการดำเนินงานเดียวกันกลยุทธ์นี้ช่วยให้แอสคอทท์สามารถตอบสนองความต้องการของนักเดินทางในทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั่วไป (B-leisure) กลุ่มที่เข้าพักระยะยาว กลุ่มคนทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ที่สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ (Digital Nomads) และครอบครัว  

3. การหาพันธมิตรขยายพอร์ตโฟลิโอ สู่รูปแบบรีสอร์ตในเมืองท่องเที่ยวหลัก อย่าง หาดใหญ่ สมุย ภูเก็ต พัทยา เพื่อตอบรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน  และสร้างสมดุลระหว่างตลาดธุรกิจ และท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตระยะยาว

‘แอสคอทท์’ รุกขยายแบรนด์ในไทย  เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สู่โรงแรม เพิ่มพอร์ต 1 หมื่นห้องใน 3 ปี

นายคณิต กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายของแอสคอทท์ ในระยะ 3 ปีนี้ วางไว้ว่า ภายในปี 2571 จะขยายห้องพักรวมเป็น 10,000 ห้อง จากปัจจุบันมีห้องพักราว 6,000 ห้อง จาก 27 โครงการ ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ กทม. โดยมุ่งขยายไปยังทำเลใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น สมุย ภูเก็ต เป็นต้น

ทั้งนี้เบื้องต้น บริษัทฯ จะเปิดตัว 4 โครงการ จำนวน 1,678 ห้อง ได้แก่ 1. แอสคอทท์ อะโบฟ ป่าตอง ภูเก็ต จำนวน 482 ห้อง เป็นรูปแบบ Branded Residences และ รีสอร์ตแห่งแรกของแบรนด์แอสคอทท์ในภูเก็ตและในไทย โครงการนี้พัฒนาโดยบริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ของ ดร.จิรศักดิ์ จิยะจันทร์ โดยแอสคอทท์เข้าบริหารเต็มรูปแบบ ที่สร้างรายได้จากการขายยูนิตในตลาดพรีเมียม ควบคู่กับรายได้จากการบริหารโรงแรม

2. Citadines ชลบุรี จำนวน 91 ห้อง ตั้งอยู่ด้านหลังโรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี โดยโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจในอนาคตของแอสคอทท์ในไทย  

‘แอสคอทท์’ รุกขยายแบรนด์ในไทย  เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สู่โรงแรม เพิ่มพอร์ต 1 หมื่นห้องใน 3 ปี

3. โครงการ Culture ทองหล่อ และ Culture จุฬาฯ ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการบริหารโดยไม่ติดชื่อแบรนด์ แต่ใช้มาตรฐานการบริการระดับโลกของแอสคอทท์ จำนวน 2 โครงการ รวม 1,105 ห้อง ในเดือน ต.ค. นี้ 

4. โครงการในหาดใหญ่ ผสมผสานห้องพักแบบโรงแรมและเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ในอาคารเดียวกัน โดยเตรียมจะเซ็นสัญญาบริหารโรงแรม Oakwood หาดใหญ่ จำนวนไม่เกิน 200 ห้อง คาดว่าจะเปิดให้บริการกลางปี 2569 

‘แอสคอทท์’ รุกขยายแบรนด์ในไทย  เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สู่โรงแรม เพิ่มพอร์ต 1 หมื่นห้องใน 3 ปี

นอกจากนี้ยังมองตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย หรือ “Active Senior Living” กำลังเป็นโอกาสใหม่ที่มีศักยภาพสูงต่อการเติบโตในอนาคต แอสคอทท์อยู่ระหว่างการสำรวจและหารือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการลักษณะนี้ในไทย จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไปสู่สังคมสูงวัย แม้ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดตัวแบรนด์หรือเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ แต่บริษัทมองเห็นแนวโน้มเชิงบวกจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่มีอายุยืนยาวขึ้นและมีสุขภาพดีขึ้น 

อีกทั้งมุมมองต่อการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุได้เปลี่ยนไปจาก “บ้านพักคนชรา” ในอดีต กลายเป็น “ชุมชนสำหรับการใช้ชีวิต” ที่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมและคุณภาพชีวิต ผู้สูงอายุรุ่นใหม่ต้องการอยู่อย่างอิสระ ไม่เป็นภาระลูกหลาน และมองหาที่พักที่มีคอมมูนิตี้ สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมสร้างสังคมร่วมกัน แอสคอทท์ จึงเล็งเห็นศักยภาพในการพัฒนาโครงการในทำเลชานเมืองกรุงเทพฯ ที่มีบรรยากาศดีและพื้นที่กว้างขวาง รวมถึงเมืองท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างหัวหิน ซึ่งได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณนั่นเอง

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,139 วันที่ 12 – 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568