AIS ปล่อยหมัดเด็ดคว้า NBA ต่อจาก NFL ขึ้นแท่นคอนเทนต์กีฬาในไทย?

          สงครามคอนเทนต์กีฬาในประเทศไทยเริ่มต้นยก 2 ได้อย่างเร้าใจ เมื่อ AIS เพิ่งประกาศความร่วมมือกับ The National Basketball Association (NBA) ถ่ายทอดสดลิขสิทธิ์ การแข่งขันบาสเก็ตบอลที่ดีที่สุดของโลกทางแพลตฟอร์ม AIS Play ในฤดูกาล 2025-26 ซึ่งจะเริ่มถ่ายทอดตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป

          การคว้าลิขสิทธิ์กีฬาระดับพรีเมียมของโลกครั้งนี้เป็นการเดินหมากเกมรุกต่อเนื่องของ AIS ที่ส่งสัญญาณเดินหน้าจริงจังที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งคว้าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันลีกอเมริกันฟุตบอล (National Football League หรือ “NFL”) เข้าสู่แพลตฟอร์มสดๆร้อนๆ

          โดยที่ลิขสิทธิ์การแข่งขันทั้ง NBA และ NFL ถือเป็น “ของรัก” ที่ทรูวิชั่นส์ เจ้าตลาดครอบครองเกือบตลอดและอยู่ในภาพความทรงจำของแฟนกีฬาที่หากอยากจะดูรายการแข่งขันทั้งสองจะไปตามหาได้ที่เดียว

          แบบนี้เราจะเรียกว่า AIS เป็นเบอร์หนึ่งของการถ่ายทอดสดกีฬาในประเทศไทยได้หรือยัง?

          และสำคัญกว่านั้นคือมันเป็นผลดีต่อแฟนกีฬาชาวไทยจริงๆใช่ไหม?

AIS ราชาอเมริกันเกมส์

          “The National Basketball Association (NBA) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) ผู้ให้บริการดิจิทัลและผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ประกาศความร่วมมือระยะยาวในการถ่ายทอดการแข่งขัน NBA”

          คือข้อความจากจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ที่ส่งออกถึงผู้สื่อข่าวเพื่อบอกเล่าถึงข่าวใหญ่ในระดับสะเทือนวงการกีฬาไทยพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน AIS ก็เพิ่งประกาศคว้าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดศึกอเมริกันฟุตบอล “NFL” มาครองได้สำเร็จ

          นั่นหมายถึงในกลุ่ม 4 สุดยอดกีฬาอเมริกันเกมส์ (American Games) 2 กีฬาที่ฮิตมากที่สุดทั้ง NBA และ NFL มาอยู่ในมือของ AIS เรียบร้อย (เหลืออีก 2 คือเบสบอล MLB และฮอคกี้น้ำแข็ง NHL)

          สำหรับ NFL นั้น AIS ประกาศราคาแพ็คเกจเสริมในการรับชมอยู่ที่เพียงปีละ 999 บาทเท่านั้น ขณะที่ NBA ยังไม่มีการประกาศเรื่องราคา โดยมีการแจ้งรายละเอียดเบื้องต้นว่าจะมีถ่ายทอดสดทุกแมตช์สำคัญ ทั้งในฤดูกาลปกติ, รอบเพลย์ออฟ, รอบชิงแชมป์สาย, รอบชิงชนะเลิศ (NBA Finals) แบบปีเว้นปี ไปจนถึงเกม NBA All-Star และการโยกย้ายผู้เล่น NBA Draft (เริ่มฤดูกาล 2026-27) โดยจะเริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 21 ตุลาคมเป็นต้นไป

          แม้จะมีเครื่องหมายคำถามจากแฟนๆที่ไม่เข้าใจในคำว่า “ถ่ายทอดสดรอบชิงชนะเลิศแบบปีเว้นปี” ที่มีการคาดกันว่าอาจเป็นเพราะในประเทศไทย ผู้ถือลิขสิทธิ์บาสเก็ตบอล NBA อีกรายคือ Prime ผ่านช่อง NBA on Prime ซึ่งต้องรอรายละเอียดและความชัดเจนเพิ่มเติมที่คาดว่าจะตามมาในเร็วๆนี้

          แต่ข่าวนี้ได้รับการจับตามองจากแฟนกีฬาชาวไทยอย่างมาก การแลกหมัดกันของยักษ์ใหญ่

 

          ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในตลาดคอนเทนต์กีฬาของประเทศไทย

          เพราะบาสเก็ตบอล NBA นั้นเป็นหนึ่งในกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงจากแฟนกีฬาในไทยที่ติดตามกันอย่างเหนียวแน่น และที่สำคัญคือเป็นหนึ่งในของรักของหวงของทรูวิชั่นส์ ผู้ให้บริการซึ่งเป็นคู่แข่งและเบอร์หนึ่งของวงการมานาน

          การเสีย NBA ต่อจาก NFL ยังเป็นสัญญาณที่ดูมีความอันตรายต่อภาพลักษณ์ของทรูวิชั่นส์ในเรื่องของการเป็นเบอร์หนึ่งคอนเทนต์กีฬาที่รันวงการมายาวนานด้วย

          ภายในระยะเวลาปีเดียวทรูวิชั่นส์ไม่ได้เสียแค่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็น “King of Content” ของโลกให้แก่ JAS (ซึ่งผนึกกำลังกับ AIS) ยังเสียลิขสิทธิ์กีฬาอีกไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลไทยที่ AIS คว้าลิขสิทธิ์มาครองและประกาศให้แฟนฟุตบอลไทยรับชมฟรีทุกคน

          ถึงแม้จะมีการแก้เกมด้วยการผนึกกำลังพันธมิตรที่เป็นคู่คิดมานานอย่าง beIN SPORTS เพื่อสิทธิ์ในการถือลิขสิทธิ์ของสถานีกีฬาจากประเทศกาตาร์แบบเอ็กซ์คลูซีฟเพียงเจ้าเดียว ทำให้ AIS Play และ Mono Max เสียหน้าไปพอสมควรเพราะประกาศไปก่อนหน้าว่าได้ลิขสิทธิ์ (ซึ่งเดิมมีให้ซื้อชมได้บน AIS Play ด้วย)

          ทำให้ทรูวิชั่นส์ยังครองลิขสิทธิ์กีฬารายการสำคัญอย่างฟุตบอลยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก, ฟุตบอลยูเอฟา ยูโรปา ลีก, ฟุตบอลลา ลีกา, ฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน และฟุตบอลกัลโช เซเรีย อา

          รวมถึงรถแข่งฟอร์มูลาวัน (F1), เทนนิสแกรนด์สแลม รายการออสเตรเลียน โอเพน และเฟรนช์ โอเพน เอาไว้ได้รวมถึงยังเหลือลิขสิทธิ์การแข่งขันอื่นๆ เช่น จักรยานยนต์ทางเรียบ “โมโตจีพี”, ​แบดมินตัน BWF และกอล์ฟรายการระดับเมเจอร์

          แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าของที่เหลือในมือของ AIS ตอนนี้น่าดึงดูดใจแฟนกีฬากว่ามาก

AIS Sports คัดแต่ของดีมาฝาก

          การได้ NBA และ NFL มาเสริมทำให้ขุมกำลังคอนเทนต์กีฬาบน AIS Play เวลานี้แน่นไม่ต่างอะไรจากขุมกำลังของทีม “ปืนใหญ่” อาร์เซนอลที่เสริมทัพแบบเน้นเข้าเป้าทุกจุดเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย

          นำมาโดยฟุตบอลพรีเมียร์ลีก รายการกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลก โดยที่แฟนฟุตบอลอังกฤษยังสามารถติดตามชมรายการฟุตบอลเมืองผู้ดี “ครบทุกรายการ” ได้ทาง AIS Play (และ Mono Max) ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลลีกระดับรองทั้ง เดอะ แชมเปียนชิพ, ลีก วัน, ลีก ทู (เทียบกับดิวิชั่น 2-4), ฟุตบอลคาราบาวคัพ, ฟุตบอลเอฟเอ คัพ และฟุตบอลเอฟเอ คอมมิวนิตี ชิลด์

          สำหรับแฟนฟุตบอลยังมี “บอลไทย”​ ให้ชมกันครบถ้วนทุกรายการเช่นกัน ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เรียกได้ว่าตั้งแต่ระดับไทยลีก 1-3 และเกมทีมชาติทุกชุด ซึ่ง AIS ยังใจป้ำด้วยการเปิดให้แฟนฟุตบอลทุกคนชมได้ฟรีทุกนัดในปีนี้ด้วย

          นอกจากนี้ยังมีลิขสิทธิ์การแข่งขันวอลเล่ย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก (FIVB Women’s Volleyball World Championship) สำหรับแฟนวอลเล่ย์บอลชาวไทยซึ่งเป็นกลุ่มที่ขยายตัวในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากกิจกรรมพบปะระหว่างนักกีฬาดาวดังกับแฟนนักตบชาวไทยที่จังหวัดเชียงใหม่ที่มีการต้อนรับอย่างอบอุ่นไม่ต่างอะไรจากกิจกรรมพบปะศิลปินเลยทีเดียว

          อีกเรื่องสำคัญที่น่าจับตามองคือการที่ AIS เดินหน้าเต็มตัวกับช่องทางอย่าง “AIS Sports” ซึ่งมีการดึงบุคลากรที่มีฝีมือและประสบการณ์ในวงการไปร่วมงานด้วยเป็นจำนวนมากอย่างเงียบๆในช่วงที่ผ่านมา

          โดยที่หนึ่งในนั้นคือกลุ่มผู้บรรยายกีฬา NFL และ NBA ที่คร่ำหวอดในวงการ ที่จะช่วยทำให้การเปลี่ยนผ่านมือของสุดยอดคอนเทนต์อเมริกันเกมส์เป็นไปอย่างราบรื่นสวยงามยิ่งขึ้น

          บางทีเราอาจอนุมานได้ว่านี่แหละคือความตั้งใจที่จะไปให้ถึงการเป็น “King of Sports” ตัวจริง

แฟนกีฬาไทยจ่ายน้อยหรือจ่ายหนักกว่าเดิม?

          คำถามที่น่าสนใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คือนี่เป็นข่าวดีสำหรับแฟนกีฬาชาวไทยจริงๆใช่ไหม?

          สำหรับแฟนกีฬาที่สนใจการถ่ายทอดสดกีฬาระดับโลกทั้งหมดนี้ อาจจะต้องกดเครื่องคิดเลขกันดีๆเพราะการกระจายตัวของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬานั้นอาจหมายถึงรายจ่ายที่ซ้ำซ้อน

          สำหรับคอนเทนต์กีฬาบน AIS Play นั้น ตามข้อมูลล่าสุด

          • ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (และฟุตบอลอังกฤษอื่นๆ) ปีละ 1,999 บาท (เดือนละ 199 บาท) *สามารถสมัครผ่าน Mono Max (เจ้าของลิขสิทธิ์) ได้

          • ฟุตบอล ลีก เอิง ฝรั่งเศส

          • อเมริกันฟุตบอล NFL ปีละ 999 บาท

          • บาสเก็ตบอล NBA รอการยืนยัน

          • ฟุตบอลไทยทุกรายการ (ชมฟรี)

          • วอลเล่ย์บอลชิงแชมป์โลก (ชมฟรี)

          หากอยากชมฟุตบอลยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปอื่นๆ รวมถึงรถแข่ง F1, เทนนิสแกรนด์สแลม ที่อยู่บนแพลตฟอร์มของ beIN SPORTS ปัจจุบันราคาแพ็คเกจสำหรับลูกค้าที่สมัครใหม่สูงถึงปีละ 3,490 บาท (ลูกค้าเดิมสมัครต่ออายุในราคาเก่า 1,190 บาท)

          หรือจะสมัครผ่านทรูวิชั่นส์ในแพ็คเกจ “NOW FOOTBALL” ในราคา 199 บาทสำหรับลูกค้าทรู (259 บาทสำหรับลูกค้าทั่วไป) หรือ “NOW Season Pass” ราคา 1,789 บาทต่อฤดูกาลสำหรับลูกค้าทรู (ลูกค้าทั่วไป 2,329 บาท) ซึ่งจะชมฟุตบอลได้ถึง 9 ลีก 15 ถ้วยมากกว่า 2,000 แมตช์ต่อฤดูกาล

          เรียกว่าเป็นแฟนกีฬายุคนี้ (ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี) มีราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อยเลย โดยที่ยังไม่นับบริการสตรีมมิงอื่นๆที่มีกันแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็น Spotify, YouTube Premium, Netflix, Disney+, Prime, HBO Max, WeTV, IQIYI ฯลฯ

          แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายของยักษ์ใหญ่ในไทยคือ เรามี “ทางเลือก” สำหรับชีวิตมากขึ้น

          อยากดูอะไรก็จ่ายแค่นั้น ไม่ต้องถูกยัดเยียดให้จ่ายราคาสูงเพื่อชมในสิ่งที่ไม่ต้องการอีกต่อไป

         นี่คือยุคใหม่ของการถ่ายทอดสดกีฬาของไทย ที่ผู้บริโภคเลือกได้อย่างแท้จริง